“นายกอนุทินต้องกล้าตัดสินใจ” หมอประกิตจี้ปรับภาษีบุหรี่ให้เหลืออัตราเดียว ลดคนสูบ-เพิ่มรายได้รัฐ

กรุงเทพฯ — นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เร่งแก้ไขโครงสร้างภาษีบุหรี่ของไทยที่ใช้ระบบสองอัตรามาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า “ผิดหลักวิชาการ” และส่งผลเสียต่อทั้งรายได้รัฐ สุขภาพประชาชน และความเป็นอยู่ของชาวไร่ยาสูบ
นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ นักรณรงค์ด้านควบคุมยาสูบชื่อดังได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุกมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โดยระบุว่า “ภาษีบุหรี่เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ในการลดจำนวนคนสูบบุหรี่ แนะนำโดยธนาคารโลก องค์การอนามัยโลก เป็นนโยบาย วิน-วินในฐานะคนทำงานรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ จึงมีความปรารถนาตลอดเวลา ที่จะให้ประเทศไทยมีระบบภาษีบุหรี่ที่ดี ตามหลักวิชาการซึ่งเราก็ได้อานิสงส์จากนโยบาย “ขึ้นภาษีบุหรี่เพื่อสุขภาพและเพิ่มรายได้รัฐ” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 สมัยรัฐบาล ท่านนายกชวน หลีกภัย ที่ขึ้นภาษีบุหรี่ที่คิดตามมูลค่าราคาขายปลีกจาก 55% เป็น 60% อัตราเดียว หลังจากนั้นมีการขึ้นภาษีต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ขณะที่จำนวนคนสูบบุหรี่ลดลง
รายได้ภาษีบุหรี่ปี พ.ศ.2560 ก่อนการเปลี่ยนภาษีเป็น 2 อันตรา เก็บได้ถึง 68,603 ล้านบาท และกำไรโรงงานยาสูบไทยสูงถึง 9,343 ล้านบาทจุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2560 ที่มีการปรับภาษีบุหรี่มวน จากคิดตามมูลค่าอัตราเดียว มาเป็น 2 อัตราร่วมกับเก็บภาษีต่อมวน ซึ่งการเก็บภาษีตามมูลค่า 2 อัตรา เป็นรื่องที่ “ผิดหลักวิชาการ” เพราะเป็นแรงจูงใจให้บริษัทบุหรี่แจ้งราคาขายต่ำกว่าจริง และต่างผลิตบุหรี่ราคาถูกมาแข่งขันในตลาดระดับล่างเพื่อเสียภาษีให้น้อยลง
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 และ พ.ศ.2562 องค์การอนามัยโลกก็ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเทศไทย แนะนำให้รัฐบาล ปรับภาษีบุหรี่ให้เหลืออัตราเดียวกระทรวงการคลังมีการปรับภาษีบุหรี่อีกครั้งเมื่อ พ.ศ.2564 แต่ก็ยังเป็น 2 อัตรา ส่งผลให้ภาษีที่เก็บได้ยิ่งลดลงไปอีก โดยปี พ.ศ.2567 ภาษีบุหรี่เก็บได้ 51,248 ล้านบาท และกำไรการยาสูบไทย 735 ล้านบาท ส่งผลให้ชาวไร่ยาสูบได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ผลจากที่การยาสูบไทย เสียส่วนแบ่งตลาดให้บุหรี่ต่างประเทศ”
นพ.ประกิตยังได้ยกตัวอย่างประเทศฟิลิปปินส์ที่เคยมีภาษีบุหรี่หลายอัตราและเป็นระบบภาษีที่แย่ที่สุดในโลก ทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อยและคนสูบบุหรี่มาก แต่หลังจากปี 2013 รัฐบาลได้ปรับเหลืออัตราเดียวและเพิ่มภาษีต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ภาษีเพิ่มสี่เท่า คนได้รับสิทธิประกันสุขภาพมากขึ้น และช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบด้วยการนำเงินภาษีไปพัฒนาจังหวัดที่ปลูกยาสูบ การปฏิรูปนี้ได้รับการยกย่องจาก UNDP ว่าเป็นตัวอย่างที่ดี รัฐบาลไทยควรเร่งแก้ปัญหาภาษีบุหรี่สองอัตราเพื่อเพิ่มรายได้และลดผลกระทบเชิงลบ
“เรื่องนี้นักวิชาการไทยเองพยายามเรียกร้องให้มีการปรับภาษีบุหรี่ให้เหลืออัตราเดียวมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการ และไม่มีคำตอบจากรัฐบาลต่อสังคมว่าเพราะเหตุใด นายกอนุทิน จึงไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ที่ปล่อยให้ความเสียหายจากระบบภาษีบุหรี่มวน ที่ทำให้รายได้รัฐลดลงปีละนับหมื่นล้านบาท ขณะที่คนสูบบุหรี่ไม่ลดลง สร้างความเสียหายให้แก่ส่วนรวมต่อไป”