บพค.ระดมสมองเปิดวงเสวนาแก้ ‘วิกฤตแม่น้ำกก’ พิษสารหนูจากเหมืองแร่เพื่อนบ้าน

บพค.ระดมสมองเปิดวงเสวนาแก้ ‘วิกฤตแม่น้ำกก’ พิษสารหนูจากเหมืองแร่เพื่อนบ้าน

นิด้า – บพค. ระดมนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน หาทางแก้ไขวิกฤตแม่น้ำกก หลังตรวจพบการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินมาตรฐาน โดยสาเหตุหลักมาจากการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ 

แม่น้ำกกเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาแดนลาว และทิวเขาผีปันน้ำ ตอนเหนือของเมืองกก จังหวัดเชียงตุง ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และผ่านอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงราย เช่น อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย และอำเภอเชียงแสน ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่บ้านสบกก วิกฤตเริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2568 เมื่อชาวบ้านในตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ สังเกตเห็นน้ำในแม่น้ำกกขุ่นผิดปกติ มีตะกอนดินและสารแขวนลอยจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากสภาพน้ำใสในฤดูแล้งปกติ การตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เผยว่าพบสารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณต้นน้ำที่ไหลเข้าประเทศไทย นอกจากนี้ ยังพบสารตะกั่วและโลหะหนักอื่นๆ ในระดับสูง นักวิชาการเตือนว่าสารพิษเหล่านี้อาจสะสมในตะกอนดิน สัตว์น้ำ พืชผัก และน้ำประปาได้

ระดมความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่าย

จากปัญหาดังกล่าวทางหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาฯ (บพค.) จึงได้จัดเสวนาวิชาการ หัวข้อ “จากข้อมูลสู่โอกาส : แกะรอยสารพิษ…ปลุกชีวิตแม่น้ำกก” ขึ้น ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อเร็ว ๆ นี้  

ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาฯ (บพค.) ตามที่ทราบกันแล้วว่า วิกฤติแม่น้ำกก เกิดจากการทำเหมืองแร่ Rare Earth ในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วมีการไหลนำเอาของเสียจากอุตสาหกรรมนั้นเข้ามาสู่เมืองไทย จากปัญหาดังกล่าว เป็นภารกิจหนึ่งที่ บพค.ต้องเข้าไปเร่งรัดดำเนินการ บพค. ได้สนับสนุนงบประมาณ และส่งทีมนักวิจัยลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินจากแม่น้ำกกบริเวณบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อนำไปวิเคราะห์ความเป็นพิษด้วยเทคโนโลยีแสงซินโครตรอน เมื่อได้ผลวิจัยและแนวทางการแก้ไขปัญหาแล้วนำไปสู่การขับเคลื่อนในเชิงนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสารพิษดังกล่าว

ด้วยประสบการณ์ ความรู้ และวิสัยทัศน์ ของ ดร.ณิรวัฒน์ บพค. พร้อมเดินหน้าสู่บทบาทองค์กรแกนนำในการขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วิทยศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศในเวทีโลกอ่างมั่นคงและยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ (นิด้า) และประธานฟิวเจอร์เอิร์ธไทยแลนด์ เน้นย้ำว่าการใช้แร่ธาตุในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแล้วปล่อยให้มีการปนเปื้อนในแม่น้ำ จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงต่อประชาชน โดยเฉพาะเมื่อพบสารหนูในร่างกายเด็ก ต้องมีการศึกษาผลกระทบเพิ่มเติมต่อสุขภาพประชาชน ทุกฝ่ายต้องทำงานเชิงรุกให้มากขึ้นและอาจต้องพิจารณาไม่ซื้อแร่ Rare Earth จากประเทศเพื่อนบ้านหากมีความจำเป็น และต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคและแหล่งน้ำที่ใช้ วิกฤติมลมิษนี้เป็นปัญหาที่ไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ทันที จึงต้องการความร่วมมือจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขเพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง 

นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ชี้ว่าไทยควรกำหนดให้พื้นที่ของเราเป็นพื้นที่คุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 45 ของกฎหมายสิ่งแวดล้อม และเสนอให้ทำฝายชะลอน้ำโดยไม่ต้องสร้างเขื่อน ภาครัฐและภาคสังคม ควรจัดพื้นที่เพื่อพูดคุยกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะฝั่งพม่ากำหนดมาตรฐานสารหนูไว้ที่ 0.05 ส่วนไทยกำหนดไว้ที่ 0.01 หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ใส่ใจจะสร้างความเสียหายต่อประชาชนอย่างมาก

ด้านนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เสนอให้ใช้เวทีความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่าง LMC (Lancang-Mekong Cooperation) โดยดึงจีนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เนื่องจาก 80% ของสาร Rare Earth นั้นอยู่ที่จีน

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการแก้ไขปัญหา เช่น แสงซินโครตรอน: ดร.สุทธิพงษ์ วรรณไพบูลย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยซินโคตรอน กล่าวว่าเทคนิคการดูดกลืนรังสีเอ็กซ์ด้วยแสงซินโครตรอนที่มีความเข้มข้นสูง สามารถวิเคราะห์กระบวนการออกซิเดชันของสารประกอบ เช่น สารหนู เพื่อนำไปสู่กระบวนการดักจับและบำบัดที่เหมาะสม

ด้านนายเอกพล เอกอัครรุ่งโรจน์ นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์พัฒนาการสื่อสารด้านภัยพิบัติ กล่าวว่า แม้ดาวเทียมจะไม่สามารถตรวจจับมลพิษหรือโลหะหนักได้โดยตรง แต่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดความขุ่นของอากาศและน้ำ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐสามารถชี้แจงสถานการณ์ให้ประชาชนเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *