ขบวนการบุหรี่เถื่อนข้ามชาติ ภัยคุกคามใหม่ของไทยและอาเซียน

องค์กรระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับการค้าที่ผิดกฎหมาย (TRACIT) เผยแพร่รายงานฉบับล่าสุด 2025 Illicit Trade Index ซึ่งครอบคลุมการศึกษาใน 158 ประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศที่พัฒนาแล้ว ระบุว่า การค้าของเถื่อนเป็นปัญหาที่แพร่หลายและเรื้อรัง แม้บางประเทศจะมีความแข็งแกร่งในเรื่องกฎหมายและการบังคับใช้ แต่ก็ยังคงมีช่องโหว่ที่ทำให้การค้าผิดกฎหมายมีโอกาสในการเติบโตได้ จากดัชนีการค้าที่ผิดกฎหมาย ซึ่งประเมินจาก 6 หัวข้อ ได้แก่ 1) สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและภาษี 2) กฎระเบียบและการบังคับใช้กฎหมาย 3) ปัจจัยสนับสนุนการค้าผิดกฎหมาย 4) การค้า ศุลกากร และพรมแดน 5) ตัวกลางในห่วงโซ่อุปทาน และ 6) ตัวชี้วัดการค้าผิดกฎหมายตามภาคส่วน พบว่าคะแนนรวมของประเทศต่าง ๆ ยังคงต่ำ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 49.9 จากคะแนนเต็ม 100 ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะป้องกันหรือแก้ไขปัญหาการค้าผิดกฎหมายอย่างจริงจังดัชนีการค้านี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ได้คะแนนต่ำ อาทิ เยเมน เวเนซุเอลา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง มักเผชิญกับความขัดแย้งและความไม่มั่นคง ซึ่งเอื้อให้เครือข่ายอาชญากรรมขยายตัวได้ง่าย ในขณะที่ประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดส่วนใหญ่มาจากกลุ่ม G20, OECD และสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมี GDP ต่อหัวค่อนข้างสูงทำให้รัฐบาลของประเทศเหล่านี้สามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อจัดการกับปัญหานี้ได้ดีกว่าสำหรับภูมิภาคอาเซียน รายงานฯ ระบุว่าหลายประเทศยังไม่มีความเข้มแข็งในการกำกับดูแลและตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานสินค้า ประเมินความรุนแรงของปัญหาต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่ให้ความสำคัญกับการป้องกันเท่าที่ควร โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงต่อการค้าผิดกฎหมาย อาทิ ยา แอลกอฮอล์ ยาสูบ เคมีเกษตร สินค้าแฟชั่น และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งยังคงเป็นจุดอ่อนที่จำเป็นต้องแก้ไข ผ่านความร่วมมือและการสร้างขีดความสามารถในระดับภูมิภาคให้มากขึ้นในรายงานชี้ว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 56 ของโลก ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา อยู่ที่อันดับ 61, 69 และ 138 ตามลำดับ ซึ่งหากไทยต้องการก้าวสู่การเป็นสมาชิก OECD อย่างที่ตั้งเป้าไว้ จำเป็นต้องเร่งพัฒนาหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมการค้าของเถื่อนจึงไม่น่าแปลกใจที่ปัญหาบุหรี่เถื่อนในภูมิภาคอาเซียนมีสัดส่วนสูงถึง 15% ของการบริโภคยาสูบทั้งหมดในอาเซียน โดยในปี 2560 อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามมีสัดส่วนการบริโภคบุหรี่เถื่อนรวมกันถึง 95% รวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากบุหรี่เถื่อนมูลค่ากว่า 2,900 ล้านเหรียญสหรัฐ และสำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากผลสำรวจซองบุหรี่เปล่าที่จัดทำโดยอุตสาหกรรมยาสูบระบุว่าอัตราการบริโภคบุหรี่ที่ไม่ได้เสียภาษีประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2567 อยู่ที่ 25.4% โดยจังหวัดที่มีอัตราสูงสุดยังคงกระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ สตูล (97%) สงขลา (88%) พัทลุง (78%) ภูเก็ต (72%) นครศรีธรรมราช (68%) และระนอง (65%) และขยายตัวแพร่กระจายเข้ามายังจังหวัดในภาคกลางอย่างนนทบุรี (49%) สมุทรปราการ (43%) และกรุงเทพมหานคร (39%) สอดคล้องกับข้อมูลการค้าที่เผยแพร่โดย Apirasol ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการค้าผิดกฎหมาย ซึ่งรวบรวมข้อมูลการค้าบุหรี่เถื่อนในระหว่างตุลาคม 2565 ถึงพฤศจิกายน 2566 ยืนยันว่าประเทศไทยเป็นประเทศปลายทางของเส้นทางการลักลอบและการจำหน่ายบุหรี่เถื่อน โดยมีแหล่งต้นทางหลักมาจากเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา มีมูลค่าการนำเข้าบุหรี่เถื่อนรวมกว่า 2.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจัยสำคัญทำให้บุหรี่เถื่อนไหลเข้าประเทศไทย คือ ภาษีบุหรี่ของไทยสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้การลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนกลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาลให้กับเครือข่ายธุรกิจเถื่อน โดยเครือข่ายเหล่านี้ใช้ช่องทางการขนส่งทางเรือออกจากเวียดนาม ผ่านกัมพูชา เข้ามาทางเรือที่แหลมฉบัง หรือทางรถที่ จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี และ จ.ตราด นอกจากนี้ ยังมีการลักลอบส่งออกบุหรี่เถื่อนจากเวียดนามไปยังมาเลเซียผ่าน อ.ตากใบ จ.นราธิวาสอีกด้วยการลักลอบบุหรี่เถื่อนจากกัมพูชาเข้าประเทศไทยยังอาศัยการ “หิ้วบุหรี่ข้ามแดน” โดยพบว่าคนไทยและกัมพูชาบางกลุ่มอาศัยช่องทาง บริเวณตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามา ก่อนกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ รวมทั้งการลักลอบเป็นขบวนการผ่านช่องทางพรมแดนตามธรรมชาติบุหรี่เถื่อนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ภาษีของรัฐและชุมชนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น การวิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์ของ Apirasol ยังระบุว่ารายได้จากการลักลอบค้าขายบุหรี่เถื่อนยังใช้สำหรับการสนับสนุนเครือข่ายผู้ก่อการร้ายบางส่วนในไทยอีกด้วย กลายเป็นปัญหาที่หน่วยงานความมั่นคงต้องเข้ามาช่วยเสริมกำลังและผสานความร่วมมือกับกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และหน่วยงานปราบปราม เช่น ทหาร ตำรวจ กรมการปกครอง ที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องของการปราบปรามบุหรี่เถื่อน รวมถึงขยายความร่วมมือไปยัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจและการค้า และในบางกรณีอาจรวมถึงกระทรวงกลาโหม เพื่อยกระดับการปราบปรามและแก้ไขปัญหานอกจากนี้ การแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงชายแดนและการบังคับใช้กฎหมายศุลกากร จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ เพื่อรับผิดชอบการจัดการบุหรี่เถื่อนข้ามแดนโดยตรง เข้มงวดกับการตรวจสอบสินค้าผ่านแดนโดยให้อำนาจเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบ ยึดสินค้าหรือออกกฎระเบียบให้เกิดการประสานงานรับรองระหว่างประเทศต้นทาง ประเทศที่มาผ่านแดน และประเทศปลายทาง ส่งเสริมความโปร่งใสและความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย WCO, WTO และเขตการค้าเสรี (FTZ) รวมถึงเพิ่มการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการฟอกเงิน เพื่อสกัดเส้นทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรรมเมื่อปัญหานี้เป็นการลักลอบในประเทศในกลุ่มอาเซียน ก็ต้องใช้กลไกความร่วมมือในกลุ่มอาเซียนมาจัดการ เช่น การประชุมอธิบดีกรมศุลกากรอาเซียนประจำปีที่ประเทศบรูไนที่กำลังจะถึงนี้ ประเทศไทยควรหยิบยกปัญหานี้ขึ้นหารือในฐานะประเทศที่เป็นทั้งทางผ่านและปลายทาง และได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หากไทยไม่แสดงบทบาทผู้นำในอาเซียน ก็อาจจะยากที่ปัญหาบุหรี่เถื่อนของไทยจะได้รับการแก้ไข และจะยังคงเติบโต กัดกิน บั่นทอนเศรษฐกิจทั้งของไทยและของอาเซียนต่อไป สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงสาธารณะ สุขภาพประชาชน และเสถียรภาพของประเทศในกลุ่มอาเซียนโดยรวม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *