![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/7C37060C-8CE7-4E64-B631-26D7DFD350B5-1024x769.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/86E0425F-5AAD-4EA5-BED5-3999038FBCBA-734x1024.jpeg)
วช.หนุนทีมวิจัยจาก สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ในการสำรวจพฤติกรรมการใช้สื่อและเกมในเด็กและเยาวชน ในช่วงสถานการณ์การโควิด – 19 ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปแบบ ( New normal ) เด็กถูกจำกัดอยู่กับบ้าน ไม่สามารถมีกิจกรรมนอกบ้าน และที่สำคัญการเรียนออนไลน์ อาจส่งผลให้เด็กคลุกคลีกับเกมออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมและการทำหน้าที่ครอบครัวในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิด ผลวิจัยพบว่าเด็กจะมีพฤติกรรมการอยู่หน้าจอที่มากขึ้น มีความสัมพันธ์กับการเสพติดเกม และพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในเด็กกลุ่มที่ครอบครัวมีการทำหน้าที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสถาบันครอบครัวจะต้องเข้ามีบทบาทในการเฝ้าระวังดูแลบุตรหลานของตัวเองก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาทางสังคม
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/56E0A90D-0FBA-4546-9839-B178C6820C16-1024x769.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/F7A69E62-F240-4765-A178-16AC2D1B1EAD-683x1024.jpeg)
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ( วช. ) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่าในฐานะที่เป็นองค์กรสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรม โดยบูรณาการร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งในมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565 มีผลงานการวิจัยมากมายที่สามารถนำไปต่อยอดในเชิงสังคมและคุณภาพชีวิต ซึ่งผลพวงจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า เด็กและเยาวชนที่ใช้ชีวิตกับสื่อออนไลน์มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ส่งผลโดยตรงมาจากเกมออนไลน์ซึ่งตัวเลขจากการประเมินวิเคราะห์ในพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนของทีมวิจัยกรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กมีพฤติกรรมก้าวแรงรุนแรงสูงขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลของผู้ปกครอง ประวัติพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งจะมีการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการส่งเสริมการทำหน้าที่ของครอบครัว การเลี้ยงดูที่มีความแตกต่างกันตามวัฒนธรรมในแต่ละภาค
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/15BE5AAA-1064-4955-9B2A-9FFE2D687379-1024x769.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/C50D1765-BAFF-4431-B821-DAB249936A3F.jpeg)
แพทย์หญิงโชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น จากกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่าทีมงานวิจัยได้ให้ผู้ปกครองจากทั้ง 4 ภาค ได้ประเมินพฤติกรรมของเด็กว่าเข้าข่ายเป็นเด็กที่ก้าวร้าว และมีพฤติกรรมติดเกมหรือไม่ ซึ่งผลวิจัยพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมรุนแรงของเด็กและเยาวชนอย่างมีนัยสำคัญคือ การเลี้ยงดูโดยผู้ปกครองที่ไม่ใช่พ่อแม่ เด็กมีประวัติพฤติกรรมรุนแรงมาก่อนเด็กมีโรคทางจิตเวช เด็กมีประวัติใช้สารเสพติด มีการทำหน้าที่ครอบครัวไม่ดี โดยภาวะติดเกม เด็กจะมีความบกพร่องในการควบคุมการเล่น ความถี่ ระยะเวลาในการเล่นให้ความสำคัญกับเกมมากกว่าสิ่งที่ต้องทำในกิจกรรมชีวิตประจำวัน จนส่งผลกระทบทั้งทางร่างกาย การเรียนรู้ ด้านอารมณ์ และด้านความสัมพันธ์ในครอบครัวและกับเพื่อน ปัจจัยจากการออกแบบเกมให้มีลักษณะเสพติดได้มากขึ้นหรือลักษณะของเกมที่มีเนื้อหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น ปัจจัยด้านจิตวิทยาในเด็กอายุน้อยจะมีโอกาสเสพติด เลียนแบบพฤติกรรมไม่เหมาะสมจากเกมได้มาก
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/75226362-32D7-4FBE-84EE-B36ACBC02A0E-724x1024.jpeg)
ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ในสังคม ในเด็กกลุ่มที่เข้าสังคมปกติในโรงเรียนไม่ได้ จะเสพติดสังคมออนไลน์ได้มากกว่า และปัจจัยด้านครอบครัวที่มีการใช้เวลาร่วมกันน้อย มีการเลี้ยงดูที่ขาดวินัยเชิงบวก ส่งผลต่อการติดเกมออนไลน์
ส่วนแนวทางการป้องกันนั้นผู้ปกครองเองมีส่วนสำคัญในการดูและเฝ้าดูสังเกตพฤติกรรม ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบเล่นเกมทุกประเภท โดยเฉพาะเกมต่อสู้ที่มีภาพและเนื้อหาความรุนแรงเพราะเด็กอาจมีพฤติกรรมเลียนแบบ ผู้ปกครองควรกำหนดเวลาเล่นเกมให้ชัดเจน พยายามหากิจกรรมอย่างอื่นที่สร้างสรรค์ให้ลูกทำยามว่าง และถ้าหากมีอาการติดเกมอย่างรุนแรงมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวควรได้รับการบำบัดโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา โดยทีมวิจัยได้จัดทำคู่มือเพื่อให้ความรู้เสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว
ในการดูแลเด็กและเยาวชนช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติการดูแลเด็กและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงพฤติกรรมติดเกม
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2022/08/A0B81BCD-936A-422A-ADD5-EA2E2AC48A7B-1024x769.jpeg)