![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/4180503B-E046-46E6-AC5B-8E46FC9C0A94-1024x704.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/874DC968-6E80-42A2-9508-57399E4465E5-1024x635.jpeg)
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่าย ร่วมแถลงการบริหารจัดการและให้วัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างเชื่อมั่นและลดความกังวลแก่ประชาชน ระบุเมื่อเริ่มใช้วัคซีนในปลายเดือน ก.พ.นี้ ประเทศไทยจะมีระบบในการติดตามและศึกษาวิจัยให้แน่ใจว่าประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับประโยชน์จากวัคซีน
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/590B6188-91A1-4463-8BBF-A85C650DB74F-1024x695.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/6BF331B4-E302-44B5-A8AB-41D1AB782BBF-1024x638.jpeg)
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงนโยบายการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม สู้ภัยโควิด-19 และความร่วมมือการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม และเรื่อง “การบริหารจัดการและให้วัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” วันที่22 กุมภาพันธ์ 2564 ณ อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (โยธี )
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/93B179D7-B47A-47BE-B6F4-0050A87C8339-1024x717.jpeg)
ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระบุว่า เมื่อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ลอตแรกเข้ามาในประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เห็นควรให้มีการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องวัคซีนโควิด-19 ในประเทศได้ อย่างเช่นแผนงานวิจัยเรื่อง “การบริหารจัดการโครงการวิจัยวัคซีนและประเมินประสิทธิผลเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย” ของกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดนโยบายสำหรับบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ อว. จะให้การสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสู้ภัยโควิด-19 แบบนี้ไปอย่างต่อเนื่อง และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน พร้อมทั้งตอบคำถามของสังคมตามหลักวิชาการเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดความกังวลให้กับประชาชนในการใช้วัคซีนต่อไปได้
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/EE8996AB-4FC6-46F3-A851-076A0F593372-1024x705.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/FE18B3E7-BD17-4044-95EB-93D223E7067C-1024x530.jpeg)
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต กล่าวว่า สธ. มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาตั้งแต่เริ่มระบาดในระยะแรกจนถึงปัจจุบันที่เกิดการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดี แม้ระลอกใหม่จะควบคุมได้ล่าช้า แต่ก็สามารถควบคุมได้ในระยะเวลาอันสั้น และสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคือเรื่องการใช้วัคซีนโควิด-19 ซึ่งในช่วงแรกต้องใช้เวลาในการพัฒนาเพื่อให้ได้คุณภาพและความปลอดภัย โดยเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขคือต้องการใช้วัคซีนเพื่อป้องกัน ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในระดับประเทศ โดยไทยได้เตรียมการเพื่อให้ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีการจองวัคซีนโควิด-19 แล้วถึง 63 ล้านโดส กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อฉีดให้ครบทั้ง 63 ล้านโดสภายในปีนี้ เพราะหากไม่เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ เราก็เปิดประเทศไม่ได้และเมื่อมีภูมิคุ้มกันระดับประเทศก็สามารถทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/2DAA1381-25AA-41EC-91CC-45339441BFE5-1024x658.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/12F3188B-9F88-4F29-A8D5-68EBD018F3F8-1024x718.jpeg)
ทั้งนี้ สธ. มอบให้กรมควบคุมโรควางแผนการฉีดวัคซีนตั้งแต่ปี 2563 และมีเป้าหมายสำคัญ คือ
1. ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต ซึ่งวัคซีนของแอสตราเซเนกาและซิโนแวค ได้ผ่านการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว
2. เพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงจากการทำงาน จึงต้องฉีดเพื่อป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย
3. เพื่อให้คนไทยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ฟื้นฟูการท่องเที่ยวของประเทศไทย
และที่สำคัญต้องฉีดให้ครอบคลุมคนไทยมากที่สุด เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศและจะไม่เกิดการระบาดของโรคต่อไป โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 3 ระยะ คือระยะแรก ที่มีวัคซีนปริมาณจำกัด เมื่อผ่านกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ อย. จะฉีดให้คนไทยกลุ่มเสี่ยงทันที โดยในระยะนี้จะฉีดในช่วงกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2564 ระยะที่ 2 เมื่อมีวัคซีนมากขึ้น และระยะที่ 3 เมื่อมีวัคซีนอย่างกว้างขวาง เริ่มตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป และจะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/1F30182A-9961-41E3-A202-957BAA36EA96-1024x698.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/05A58C9B-B5D7-4AD7-B87F-BA5CC0A16D89-1024x765.jpeg)
“กระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งคณะทำงานด้านวิชาการขึ้นมาเนื่องจากวัคซีนนี้เป็นของใหม่ ยังขาดความรู้ จำเป็นต้องมีคณะทำงานเพื่อศึกษาและติดตามให้เกิดการใช้วัคซีนอย่างเหมาะสมกับการรับวัคซีนโควิด-19 ที่ระยะแรกมีอย่างจำกัด และการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมในระยะต่อไป ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขโดยกรมการแพทย์ในฐานะประธานคณะทำงานด้านวิชาการจึงได้จัดทำแผนงานวิจัยเรื่อง “การบริหารจัดการโครงการวิจัยวัคซีนและประเมินประสิทธิผลเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย” เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่จำเป็นในการตัดสินใจเชิงนโยบายและบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพต่อไป” นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิตกล่าว
ในส่วน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่าในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้วัคซีนโควิด-19 ลอตแรกจากประเทศจีน ได้แก่ ซิโนแวคจำนวน 2 แสนโดสจะมาถึงประเทศไทย วช. ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์และการวิจัยและพัฒนา ภายใต้ อว. และสธ. เห็นร่วมกันว่าควรมีการสนับสนุนและเร่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลและอาการข้างเคียงของวัคซีนที่กำลังจะเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ยังต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้เพียงพอกับการติดตามประเมินประสิทธิผล ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในประเทศ การศึกษาวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัคซีนจึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนควบคู่กับการดำเนินการบริหารการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไทย โดยให้ความสำคัญกับระยะเวลาที่มีการให้วัคซีน รวมถึงการติดตามผลลัพธ์และผลกระทบไปข้างหน้า
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/5EA58F59-FBC9-411A-ADCE-975C259B8E2D-1024x772.jpeg)
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/5402C084-1E07-4A13-90A2-D22AC06D3331-1024x682.jpeg)
1. ด้านนโยบาย และระบบสุขภาพ
2. ด้านประสิทธิผล และภูมิคุ้มกัน
3. ด้านการบริหารแผนงาน
4. ด้านการประกัน ควบคุมคุณภาพ และความปลอดภัย
5. ด้านการสื่อสาร และ
6. ด้าน new variants
ภายใต้แผนงานวิจัยเรื่อง “การบริหารจัดการโครงการวิจัยวัคซีนและประเมินประสิทธิผลเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย” โดยมี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์อธิบดีกรมการแพทย์เป็นผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย ในรูปแบบ Director โดยจะทำหน้าที่สำคัญในการกำกับทิศทางและเป้าหมายของโครงการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้และนำผลงานวิจัยที่ได้มาใช้ในการตัดสินใจเชิงนโยบายและบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิผล ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเสียชีวิตจากโควิด-19
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/B3090040-00F1-4CED-99A3-F25CCB2EFEA9-1024x684.jpeg)
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง แจกแจงเพิ่มเติมว่าแผนงานวิจัยดังกล่าวมีนักวิจัยที่เชี่ยวชาญเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยภายใต้แผนงานจากหลากหลายสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่
1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ในประเด็นความปลอดภัย และผลกระตุ้นภูมิต้านทานของวัคซีนโควิด-19 ในประชากรผู้ใหญ่ พร้อมทั้งการจำแนกสายพันธุ์ย่อยของไวรัสและการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ
2. กรมการแพทย์ รอ.นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ในประเด็นการประเมินอัตราการแพร่เชื้อไวรัสในวันที่ 7 และ 10 ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ และมีอาการไม่รุนแรง
3. กรมการแพทย์ นพ.เมธา อภิวัฒนากุล ในประเด็นอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทจากการฉีดวัคซีนโควิด-19
4. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล รศ.พญ.ณสิกาญจน์ อังคเศกวินัย ในประเด็น การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ในบุคลากรทางการแพทย์
5. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ผศ.นพ.จักรพงษ์ บรูมินเหนทร์ ในประเด็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อไวรัสหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและผู้ป่วยปลูกถ่ายไต
6. โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ภญ.เบญจรินทร์ สันตติวงศ์ไชย ในประเด็นการจัดตั้งเครือข่ายวิจัยเพื่อสนับสนุนนโยบายโควิดวัคซีนพาสปอร์ตในอาเซียน
![](https://www.thaikufanews.com/wp-content/uploads/2021/02/6FFC2AD7-C089-4D28-94B1-2A1BC94E492D-1024x697.jpeg)