ภาษีบุหรี่: ความล่าช้าที่คลังต้องจ่าย – 4 หมื่นล้านบาทที่หายไปจากกระเป๋ารัฐ

ภาษีบุหรี่: ความล่าช้าที่คลังต้องจ่าย – 4 หมื่นล้านบาทที่หายไปจากกระเป๋ารัฐ

สถานการณ์ภาษีสรรพสามิตบุหรี่ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงเรียกร้องให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียว แทนที่โครงสร้างสองอัตราที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกำลังสร้างปัญหาอย่างมหาศาล ทั้งในแง่ของรายได้ของรัฐบาล สุขภาพประชาชน และการควบคุมสินค้าผิดกฎหมาย

ท่ามกลางความกดดันที่เพิ่มขึ้น ประเด็นนี้พุ่งเป้าไปที่ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลกรมสรรพสามิตและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านภาษี รวมทั้งปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิตในช่วงการรปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษียาสูบปี 2564 การตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาดในเรื่องนี้ โดยเลือกที่จะใช้โครงสร้างภาษี 2 อัตราต่อไปในเดือนตุลาคม 2564 กำลังทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่รุนแรงกว่าที่คิด นั่นคือการสูญเสียรายได้เข้ารัฐไปแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท

ย้อนกลับไปในปี 2560 กรมสรรพสามิตได้เริ่มใช้โครงสร้างภาษีบุหรี่สองอัตรา คือ 20% สำหรับบุหรี่ราคาไม่เกิน 60 บาท และ 40% สำหรับบุหรี่ราคาสูงกว่า 60 บาทต่อซอง โดยมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองบุหรี่ราคาถูกซึ่งผลิตและจำหน่ายโดยรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ตาม หลักคิดที่ดูเหมือนจะดี กลับกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างไม่คาดฝัน เมื่อผู้ประกอบการบุหรี่ต่างปรับตัวเพื่อผลิตบุหรี่ที่ราคาต่ำกว่า 60 บาทออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกัน บุหรี่เถื่อนและบุหรี่ปลอมก็ทะลักเข้าสู่ตลาดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เนื่องจากมีการขึ้นอัตราภาษีและเก็บภาษีประเภทใหม่ ๆ ได้แก่ ภาษีมหาดไทยและผู้สูงอายุ ไปพร้อมกัน จนเอื้อต่อการทำกำไรจากการลักลอบการบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี

4 หมื่นล้านบาทที่หายไป: ค่าใช้จ่ายของความล่าช้า

แหล่งข่าววงในกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การเลือกที่จะใช้โครงสร้างภาษีสองอัตราในปี 2564 ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ไปแล้วอย่างน้อย 4 หมื่นล้านบาท ตลอดช่วงเวลาหลายปี 4 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขในบัญชี แต่เป็นเม็ดเงินที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ฝืดเคือง และรัฐยังหาแนวทางในการสร้างรายได้อื่นไม่ได้นอกจากการกู้เงิน การที่กระทรวงการคลังโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รมช. เผ่าภูมิ และปลัดกระทรวงการคัง ยังไม่มีความชัดเจนหรือความกล้าหาญในการตัดสินใจปรับโครงสร้างภาษีเป็นอัตราเดียว ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกทุกวัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และสาธารณสุขต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียวเป็นทางออกที่เร่งด่วนและจำเป็นที่สุด เพราะโครงสร้างภาษีอัตราเดียวนั้นมีความเป็นสากล และง่ายต่อการจัดเก็บรายได้ ขณะที่ฝ่ายสาธารณสุขเชื่อว่าการที่โครงสร้างภาษีให้ซับซ้อนมากกว่าที่เป็นอยู่จะก่อให้เกิดแรงจูงใจให้ผู้สูบบุหรี่บริโภคบุหรี่มากขึ้น จึงควรปรับโครงสร้างภาษีให้เป็นอัตราเดียวตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ซึ่งหากปรับโครงสร้างภาษี แน่นอนว่าจะเอื้อต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ ลดการเลี่ยงภาษีได้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาสินค้าได้อย่างอิสระ ลดการบิดเบือนกลไกทางการตลาด โดยไม่ต้องมีข้อจำกัดเรื่องจุดตัดราคา

คำถามสำคัญที่สังคมกำลังรอคำตอบจาก รมช. เผ่าภูมิ โรจนสกุล คือ กระทรวงการคลังจะเร่งรัดการพิจารณาและตัดสินใจปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียวเมื่อใด? เพราะชัดเจนว่าเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนรายได้ภาษีต่อ GDP เป็นจริงขึ้นได้ ยิ่งล่าช้ามากเท่าไหร่ ประเทศชาติก็ยิ่งต้องสูญเสียรายได้มากขึ้นเท่านั้น รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุขและอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับบุหรี่เถื่อนก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น ถึงเวลาแล้วที่กระทรวงการคลังจะต้องแสดงความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ในการตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้เม็ดเงินหลายหมื่นล้านบาทไหลออกนอกระบบไปอย่างน่าเสียดายจากการไม่กล้าตัดสินใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *